เรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ - เที่ยวเกาะเหลาเหลียง

"Blog นี้เป็นเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ ย้ายบทความเดิมจากเวบส่วนตัว Baan No.137 ตั้งแต่ปี 2548"

ภายหลังจากที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของไทยถูกคลื่นยักษ์ถล่มทางด้าน  หลายๆ ฝ่ายได้พยายามช่วยกันฟื้นฟูการท่องเที่ยวให้กลับมาดังเดิม มีแพคเกจทั้งลดทั้งแถม คำบอกเล่าของเพื่อนหลายๆ คน ที่ได้กลับไปเที่ยวทะเลอันดามันมาแล้ว ซึ่งยืนยันให้เห็นว่าแหล่งท่องเที่ยวได้ถูกฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพที่พร้อมรับนักท่องเที่ยวแล้ว นี่จึงเป็นที่มาของการเดินทางไปเที่ยวทะเลฝั่งอันดามันของไทยในครั้งนี้ ซึ่งจุดหมายคือเกาะเหลาเหลียง เกาะเหลาเหลียง จะมีสองเกาะคือเกาะเหลาเหลียงพี่ และเหลาเหลียงน้อง ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่เกาะเภตราเขตจังหวัดตรัง หมู่เกาะเภตรายังประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ เช่น เกาะเภตรา เกาะตะเกียง เกาะทะลุ เกาะตาใบ เกาะตะลุ้ยน้อย เกาะตะลุ้ยใหญ่ เป็นต้น

 การไปเที่ยวเกาะเหลาเหลียงในครั้งนี้ พวกเราเลือกที่จะเดินทางตอนเย็นวันพฤหัสฯ พร้อมกับเพื่อนๆ โดยรถโดยสารปรับอากาศ ออกเดินทางจากสถานีขนส่งสายใต้ กรุงเทพฯ มุ่งสู่จังหวัดตรัง แม้ว่าจะเป็นการเดินทางในเย็นวันพฤหัสฯ ธรรมดา ที่ไม่มีวันหยุดพิเศษใดๆ แต่จำนวนผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ก็ยังคงมีปริมาณมาก ทำให้ไม่อยากคิดเลยว่าหากเป็นช่วงวันหยุดพิเศษยาวๆ จำนวนคนที่ต้องการเดินทางคงจะมีมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัวแน่นอน



วันแรก

เราเดินทางไปถึงสถานีขนส่งจังหวัดตรังประมาณหกโมงเช้าวันศุกร์ โปรแกรมท่องเที่ยวที่เราซื้อไว้จะเริ่มต้นที่นี่ บริษัททัวร์ส่งรถตู้มารับพวกเราที่สถานีขนส่งเพื่อพาเราไปขึ้นเรือ โดยไม่ลืมที่จะหยุดแวะให้พักรับประทานอาหารเช้ากันก่อน หลังจากรับประทานอาหารเช้ามื้อแรกที่จังหวัดตรัง รถตู้พาเรามุ่งหน้าสู่ท่าเรือหาดยาว ระยะทางจากตัวเมืองตรังไปยังหาดยาวใช้เวลาประมาณห้าสิบนาทีเชียวครับ



การเดินทางจากหาดยาวไปยังเกาะเหลาเหลียงน้อง จะเป็นการเดินทางด้วยสปีดโบ๊ต ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางประมาณ สี่สิบนาทีเราก้อได้เดินบนหาดทรายนุ่มๆ บนเกาะแล้วครับ บนเกาะมีเจ้าหน้าที่ของบริษัท X-site รอต้อนรับเราอยู่แล้ว มีการแนะนำตัวเจ้าหน้าที่ที่จะคอยอำนวยความสะดวกและช่วยเหลือตลอดการท่องเที่ยวนี้ จากนั้นก็แนะนำสถานที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ให้ พร้อมบรรยายสรุปสั้นๆ ถึงกำหนดการของกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างที่อยู่บนเกาะนี้ หลังจากฟังบรรยายสรุปเสร็จก้อจะเป็นขั้นตอนการเช็คอินเข้าสู่ที่พัก ที่พักบนเกาะเหลาเหลียงจะเป็นเต็นท์หลังใหญ่ที่ปลูกไว้แล้ว (เรียกได้ว่าทำแบบถาวรเลยก้อได้) ภายในเต็นท์จะแบ่งเป็นลักษณะเหมือนห้องสองห้อง โดยจะมีส่วนด้านหน้าจัดเป็นลักษณะเหมือนห้องนั่งเล่น ส่วนห้องด้านในจะจัดเป็นเหมือนห้องนอน โดยจะมีที่นอนแบบเตียงเดี่ยววางไว้สองหลัง ปูทับด้วยผ้าห่มและผ้าคลุม ปูคลุมหมอนหนุนและที่นอนอีกชั้นหนึ่ง เหมือนกับการจัดที่นอนในห้องนอนของโรงแรมนั่นแหละครับ

หลังจากที่นำกระเป๋าสัมภาระไปเก็บที่เต็นท์ที่พัก และรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ผมได้ถือโอกาสช่วงเวลาว่างก่อนที่จะมีกิจกรรมปีนหน้าผา ไปเดินสำรวจดูรอบๆ ที่พักและขึ้นไปยังจุดชมวิว จากบนจุดชมวิว จะมองเห็นหาดทรายสีขาวด้านหน้าที่พักตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าเขียว ไกลออกไปที่ขอบฟ้าสีของน้ำทะเลตัดกับท้องฟ้า เป็นวิวที่สวยงามมาก พอเวลาบ่ายแก่ๆ เจ้าหน้าที่ของทัวร์ก้อเริ่มเตรียมอุปกรณ์สำหรับการไต่หน้าผา มีการปีนหน้าผาขึ้นไปเพื่อขึงเชือกสำหรับให้พวกเราได้ลองไต่หน้าผากัน 

กิจกรรมการไต่หน้าผาเราจะได้ไต่หน้าผาสูงขึ้นไปเพียงแค่ประมาณสิบเมตรเท่านั้น โดยมีเส้นทางให้เลือกไต่ได้สองทางที่แตกต่างกัน ด้านหนึ่งเป็นเส้นทางสูงชันเกือบจะตั้งฉากกับพื้น ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งจะทำองศาเอียงมากกว่า และมีซอกหินให้จับได้มากกว่า พวกเราก้อสนุกสนานกับการได้ลองไต่หน้าผากันใหญ่ เลือกไต่ตามเส้นทางที่แต่ละคนจะเลือกกันเอง

เสร็จจากกิจกรรมไต่หน้าผา ก้อเป็นการพักผ่อนกันตามอัธยาศัย เลือกทำกิจกรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นเล่นน้ำ ดำน้ำดูปะการังหน้าเกาะ หรือว่าจะเช่าเรือคายัคพายเล่นชมท้องทะเล แต่เนื่องจากแดดร้อนแบบนี้ เกินกว่าที่จะลงเล่นน้ำ และช่วงเวลาบ่ายๆ แบบนี้ ท้องฟ้าสดใส อากาศก็ดี ช่างเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง พวกเราจึงเลือกที่จะเดินเล่นเพื่อหามุมถ่ายรูปดูจะเหมาะกว่า แล้วรอให้อากาศเย็นกว่านี้ แดดน้อยลงกว่านี้ แล้วค่อยเล่นน้ำ

ช่วงค่ำหลังทานอาหารเย็น ซึ่งเป็นบุฟเฟ่แบบซีฟู๊ด ก้อมีโปรแกรมไปดูปูแม่ไก่ สถานที่ไม่ใกล้ไม่ไกล เพราะอยู่แถวๆ ที่พักนี่เอง ปูแม่ไก่เป็นสัตว์ท้องถิ่นที่หาพบได้บนเกาะ มีลักษณะคล้ายปูทั่วไป มีสีน้ำตาลแดง ที่แตกต่างจากปูทั่วๆ ไป คือจะเปล่งเสียงร้องที่มีเสียงคล้ายกับเสียงแม่ไก่ร้อง แต่ตอนที่พวกเราไปเดินดูนั้น ผมไม่ได้ยินเสียงปูร้องเลย อาจเป็นเพราะอยู่ๆ ท่ามกลางความมืด ก้อมีแสงไฟส่องมากมายรุมส่องมาใส่ แถมยังมีแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปอีก ปูมันเลยตกใจทำอะไรไม่ถูก เลยได้แต่ซุกตัวอยู่นิ่งๆ ในซอกหิน





วันที่สอง

เช้าวันนี้อากาศดูเหมือนจะสดใส แต่ทว่าเมฆวันนี้ดูจะเยอะ ท้องฟ้าไม่สดใสเท่าเมื่อวานนี้ แม้กระนั้นสภาพอากาศโดยรวมก้อยังจัดว่าดี สอบถามพนักงานบนเกาะนี้ ได้คำตอบว่า “ที่นี่ฝนไม่ตกมาหลายเดือนแล้วครับ” ซึ่งผิดกับที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีฝนตกหนักเมื่อสองวันก่อนที่พวกเราจะเดินทางมาเที่ยวกัน

ช่วงเวลาเช้าๆ แบบนี้ อากาศแบบนี้ เหมาะเหลือเกินกับการออกกำลังกายในตอนเช้า แต่ผมกลับรู้สึกขี้เกียจแทนนี่สิ ก้อไหนๆ เรามาเที่ยว มาพักผ่อนนี่นา ไม่ควรจะมาออกกำลังกายกันตอนเช้าแบบนี้ เอาแค่ตื่นมาตอนเช้ามืดเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นแบบที่คนอื่นๆ เค้าทำกันได้ก้อเป็นอันใช้ได้แล้วหล่ะ

โปรแกรมของวันนี้ จะเป็นการดำน้ำดูปะการัง จะมีทั้งการดำน้ำลึกแบบ scuba หรือแบบดำน้ำแบบ skin dive แล้วแต่ว่าจะเลือกซื้อโปรแกรมไหนไว้ ซึ่งการดำน้ำทั้งสองแบบจะแยกกันไปครับ ถ้าเลือกดำน้ำลึก จะมีเรือพาไปดำที่หัวเกาะ หากเป็นโปรแกรมดำน้ำแบบ skin dive จะมีเรือพาไปดำน้ำดูปะการังที่เกาะตะเกียง ท้ายเกาะและด้านหลังเหลาเหลียงพี่ รวมถึงพาไปเที่ยวชมหมู่บ้านชาวประมงที่ตั้งอยู่บนเกาะเหลาเหลียงพี่ด้วย


เรือที่พาเราไปดำน้ำวันนี้เป็นเรือหางยาว พาไปยังจุดแรกที่จะให้ลงดำน้ำคือท้ายเกาะเหลาเหลียงพี่ แต่เนื่องจากวันนี้สภาพอากาศไม่ค่อยจะดีนัก มีคลื่นลมแรง ไกด์พาเที่ยวของเราเลยตัดสินใจให้ไปดำที่เกาะตะเกียงก่อน แล้วรอให้ลมสงบลงหน่อยแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่อย่างที่บอก สภาพอากาศวันนี้ช่างไม่เป็นใจซะเหลือเกิน เรือต้องแล่นฝ่าคลื่นและลมแรง นานพอสมควรกว่าจะไปถึงเกาะตะเกียง เล่นเอาพวกเราบางคนถึงกับเมาเรือจนต้องให้อาหารปลากันไปหลายรอบ โปรแกรมดำน้ำสำหรับวันนี้จากที่กำหนดไว้สามจุดก้อเลยเหลือเพียงจุดเดียว คือที่หน้าเกาะตะเกียง จากนั้นเรือหางยาวก้อแล่นฝ่าคลื่นกลับไปที่เกาะเหลาเหลียงพี่ พาพวกเราไปเดินชมหมู่บ้านชาวประมง

ชาวบ้านที่นี่ล้วนแล้วแต่มีอาชีพทำประมง ออกเรือวางอวนจับปู ปลา และปลาหมึก ผมได้มีโอกาสได้เดินดูช่วงที่ชาวบ้านแกะปู ออกจากอวน เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่การวางอวนของชาวบ้านแบบนี้ทำให้สัตว์ทะเลบางชนิดติดมากับอวนด้วย เช่น ปลาดาว, ม้าน้ำ เป็นต้น สัตว์พวกนี้จะไม่เป็นที่ต้องการของชาวบ้าน ซึ่งก้อจะตาย และเป็นขยะไปในที่สุด หากแต่ชาวบ้านเห็นเป็นเรื่องธรรมดายังคงใช้วิธีเดิมนี้ในการออกจับปูปลา ซึ่งผมเห็นว่าหากปล่อยให้ทำประมงแบบนี้ไปเรื่อยๆ สักวัน สัตว์ทะเลหลายๆ ชนิดจะลดจำนวนลงไปอย่างน่าเสียดาย

หลังจากเที่ยวชมบนเกาะเหลาเหลียงพี่เสร็จ เรือก้อพาพวกเรากลับมาที่เกาะเหลาเหลียงน้อง แล้วเราก้อรับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่นี่ ดังนั้นอาหารก้อเป็นข้าวกล่องครับ เพราะตามโปรแกรมแล้ว เราควรจะหยุดกินข้าวกันบนเรือหรือไม่ก้อบนเกาะเหลาเหลียงพี่ โปรแกรมสำหรับวันนี้ก้อหมดเพียงเท่านี้ ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ก้อตามอัธยาศัยเหมือนเดิม


สำหรับพวกเราก้อมีกิจกรรมพิเศษที่ไม่เหมือนใคร คือกิจกรรม “กินปู “   ใช่แล้วครับฟังไม่ผิด ก็ตอนที่ไปเที่ยวบนเกาะเหลาเหลียงพี่ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวประมง พี่เป้ ซื้อปูแดงกลับมาด้วย หลายกิโลฯ ราคาก้อไม่แพง พอกลับมาถึงเกาะที่เราพัก ก้อจัดการให้ทางรีสอร์ทเค้านึ่งให้กินเลย พวกเราในกลุ่มก้อเลยเป็นลาภปากไป

ตอนค่ำหลังอาหารเย็นของวันนี้ เจ้าหน้าที่มาแจ้งให้เรารู้ว่า จะมีการแสดงรำกระบองไฟให้ดู การแสดงก้อมีทั้งรำกระบองไฟ, โซ่, และ ปิดท้ายด้วยการแสดงการกระโดดลอดห่วงไฟ ซึ่งเป็นการแสดงที่น่าสนใจ แถมท้ายว่าใครอยากทดลอง หรืออยากที่จะลองควงกระบอกไฟ เจ้าหน้าที่ก้อยินดีที่จะสอนให้ด้วย ส่วนพวกเราขอเป็นคนดูอย่างเดียวพอครับ ฮ่าๆๆ..



วันที่สาม

ตามกำหนดการ เช้าวันนี้จะเป็นฟรีแพลน คือพักผ่อนกันตามอัธยาศัยครับ หรือใครจะซื้อโปรแกรมเที่ยวเกาะรอก เกาะเชือก ถ้ำมรกต เพิ่มก้อได้ โดยจะมีเรือสปีดโบ๊ตพาไป แต่เนื่องจากวันนี้สภาพอากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใสผิดกับเมื่อวาน เจ้าหน้าที่จึงมาแจ้งให้เรารู้ว่าจะพาไปดำน้ำใหม่อีกครั้งเป็นการแก้ตัวเมื่อวานนี้ ต่างกันที่วันนี้เรือที่จะพาไปไม่ใช่เรือหางยาว หากแต่เป็นสปีดโบ๊ตครับ.. สร้างความดีใจให้กับพวกเราเป็นอย่างยิ่ง นึกว่ามาครั้งนี้จะเสียเที่ยวได้ดำน้ำดูปะการังที่เดียวซะแล้ว

เริ่มต้นจุดแรกที่ไปดำน้ำ ก้อเหมือนกับเมื่อวานครับ จุดแรกหน้าเกาะตะเกียง คราวนี้เราใช้เวลาแป๊บเดียวสปีดโบ๊ตก้อพาเราจากเกาะเหลาเหลียงน้องมาถึงเกาะตะเกียง สภาพอากาศวันนี้ดีกว่าเมื่อวานมากจริงๆ น้ำนิ่ง ใส แดดดี

พอดำน้ำดูปะการังหน้าเกาะตะเกียงกันจนพอแล้ว จุดต่อไปก้อคือท้ายเกาะเหลาเหลียงพี่ ซึ่งเป็นจุดที่พวกเราพลาดเมื่อวันก่อน เพราะว่าคลื่นลมมันแรง วันนี้ได้มีโอกาสแก้ตัว แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยครับ ปะการังสวย น้ำใส (อีกเช่นกัน)

จุดดำน้ำถัดไปคือที่หัวเกาะเหลาเหลียงพี่ ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่เราพลาดไปเมื่อวาน ถือว่ามาครั้งนี้คุ้มจริงๆ ได้นั่งเรือเที่ยวถึงสองรอบครับ จุดดำน้ำที่นี่ไม่ค่อยแตกต่างจากจดดำน้ำที่ท้ายเกาะที่เมื่อซักครู่เราเพิ่งไปดำมา จะต่างกันตรงที่จุดนี้น้ำจะลึกกว่า

หลังจากดำน้ำจุดนี้เสร็จ เรือก้อพานักท่องเที่ยวกรุ๊ปใหม่ที่เพิ่งจะมาถึงวันนี้ ไปเที่ยวที่หมู่บ้านชาวประมง เหมือนที่เราไปเยือนเมื่อวันก่อน ส่วนพวกเรา เรือจะกลับไปส่งที่เกาะเหลาเหลียงน้อง เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวกลับ ก่อนกลับก็จะมีอาหารมื้อกลางวันซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายที่รวมอยู่ในแพคเกจ หลังจากนั้นเรือสปีดโบ๊ตก้อจะรับพวกเราเพื่อพากลับไปที่ฝั่งท่าเรือหาดยาว

แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าครับ









Comments