ใบไม้เปลี่ยนสีที่โตเกียว ทะเลสาบคาวากุจิและนิกโก้



ช่วงปลายปีคนไทยหลายๆ คนอยากจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น ผมก็เช่นกันที่อยากไปดูอยากไปสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นบ้าง การไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองของการไปญี่ปุ่น จุดหมายครั้งนี้หลักๆ ก็คือโตเกียว โยโกฮาม่า (ดูๆ ไปช่างกว้างมากๆ ไม่มีจุดหมาย) ทะเลสาบคาวากุจิและสุดท้ายนิกโก้

เริ่มด้วยเตรียมตัวเที่ยวแบบค่อนข้างกระชั้น จองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม รวมถึงการวางแผนการเที่ยว ด้วยการช่วยเหลือและผลักดันจากคุณภรรยา ก็ได้แผนการเที่ยวเป็นโปรแกรมเที่ยวหกวันห้าคืน (จริงๆ แค่ห้าวันถ้าไม่รวมวันกลับที่จะต้องบินกลับในตอนเช้า) เดินทางจากกรุงเทพมหานครสู่มหานครโตเกียวด้วยสายการบินสกู๊ท (Scoot) ทั้งไปและกลับ โดขาไปจะบินออกจากกรุงเทพฯ ประมาณเที่ยงคืนครึ่งไปถึงโดเกียวประมาณแปดโมงเช้า ส่วนขากลับจะบินออกจากโตเกียวช่วงเช้าประมาณสิบโมงถึงกรุงเทพฯ ประมาณบ่ายเกือบๆ บ่ายสามโมง การเดินทางในญี่ปุ่นจะเน้นใช้รถไฟเป็นหลัก ทั้ง JR และรถไฟใต้ดินซึ่งหมายความว่าเราจะต้องซื้อพวก JR Pass และตั๋วรถไฟใต้ดินแบบเหมาจ่ายเพื่อความประหยัดในการเดินทาง

ส่วนแผนการเดินทางท่องเที่ยว เนื่องจากวันแรกเราจะไปถึงญี่ปุ่นในตอนเช้า กะประมาณคร่าวๆ ว่าจัดการพิธีการต่างๆ ทั้งการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ซื้อตั๋วรถไฟและการจองที่นั่งต่างๆ ก็น่าจะเป็นช่วงสายแล้ว ไหนจะเสียเวลาออกจากสนามบินเข้ามาที่ในเมืองซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยสุดก็อีกเกือบๆ หนึ่งชั่วโมง เลยคิดว่าช่วงเช้าคงเหลือเวลาอีกนิดหน่อยกับครึ่งวันที่เหลือ เราเลยวางแผนที่จะไปโยโกฮามาในวันแรก จุดหมายคือวัดพระใหญ่ไดบุทสึและเที่ยวชมเมืองโยโกฮาม่ารวมถึงจองเวลาพิพิธภัณฑ์เบียร์พอช่วงเย็นๆ มืดๆ ก็ชมวิวอ่าวโยโกฮาม่าแล้วค่อยกลับมาพักที่โรงแรมโตเกียว






กรุงเทพสู่โตเกียว - โยโกฮาม่า

ทุกการเดินทางก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ตั้งใจไว้เสมอไป อุปสรรคแรกที่เจอเลยคือเที่ยวบินล่าช้าจากกำหนดการที่เครื่องจะต้องบินออกจากสนามบินดอนเมืองประมาณเที่ยวคืนครึ่งกลายเป็นเลื่อนออกไปถึงสองครั้งเป็นตีสามห้าสิบและสุดท้ายเป็นตีห้า อ่า... นั่นหมายความว่าเราจะไปถึงญี่ปุ่นประมาณบ่ายสองโมง ซึ่งเท่ากับว่าเราจะเสียเวลาไปหกชั่วโมง จบกันสำหรับแผนสำหรับวันแรกสำหรับโยโกฮาม่า เพราะกว่าที่จะไปถึงโยโกฮาม่าก็คงบ่ายสี่โมงกว่าๆ หรือห้าโมงเย็นแล้ว โอกาสที่จะไปไหว้พระไดบุทสึก็คงลำบาก เพราะสำหรับที่ญี่ปุ่นช่วงเดือนธันวาคมเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งก็เริ่มมืดเหมือนๆ หกโมงเย็นกว่าๆ ที่บ้านเราแล้ว

แต่... the show must go on เราเลยตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยยังคงแผนเดิมคือไปโยโกฮาม่าตามที่ตั้งใจไว้โดยตัดรายการออกไปเหลือแค่ไปเดินชมเมืองรวมถึงไชน่าทาวน์และชมอ่าวโยโกฮาม่าในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ

พอได้แผนใหม่แล้ว หลังจากซื้อตั๋วรถไฟต่างๆ และจองที่นั่งของรถไฟล่วงหน้าสำหรับวันที่สองรวมถึงจองรถไฟเที่ยวกลับมาสนามบินสำหรับวันกลับเสร็จเรียบร้อย เราเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง เนื่องจากเป็นเวลาบ่ายแล้ว เราสามารถเช็คอินโรงแรมได้ รวมถึงเอากระเป๋ามาเก็บที่ห้อง จากนั้นก็ขึ้นรถไฟต่อไปยังโยโกฮาม่าทันที ไปถึงก็เย็นมากแล้ว ห้าโมงเย็นกว่าๆ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

Yokohama Cosmo World - the amusement theme park

อากาศที่โยโกฮาม่าวันนั้นประมาณ 12 องศา บวกกับลมยามที่เดินแถวอ่าวโยโกฮาม่าช่างหนาว สถานที่ไม่ควรพลาดก็คือ Red Brick Warehouse ที่ใช้โกดังสินค้าเก่ามาตกแต่งใหม่ทำเป็นร้านค้าและร้านอาหาร ช่วงเริ่มต้นเข้าฤดูหนาวย่านนี้จะมีจัดกิจกรรมคล้ายๆ งานออกร้าน มีร้านอาหารหลายร้านตั้งเป็นซุ้มและมีเต๊นท์มาตั้งพร้อมที่นั่งให้นั่งกินอาหาร อีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือสวนสนุก Yokohama Cosmo World ที่มีจุดเด่นที่เครื่องเล่นต่างๆ รวมถึงชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ตั้งเด่นเห็นแต่ไกล

หลังจากเดินเที่ยวเล่นกันพอประมาณแล้ว เราก็ขึ้นรถไฟกลับไปที่ดูบรรยากาศยามค่ำดึกๆ แถวชินจุกุในโตเกียวตามแผนเดิมสำหรับวันแรก แม้จะเป็นเวลาดึกมากแล้วแต่จำนวนคนเดินไปมาย่านชินจุกุหาได้ลดน้อยลงไม่ ปริมาณคนทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ เดินกันขวักไขว่ในย่านนี้ ทั้งเดินซื้อของ ถ่ายรูป หาร้านอาหารทาน ดูครึกครื้นมากดังเช่นเมืองที่ไม่เคยหลับไหลยังไงยังงั้น



ชมภูเขาไฟฟูจิ และ ทะเลสาบคาวากุจิ (Fuji-san & Lake Kawaguchiko) 

อะไรที่พลาดไปในวันแรกเราก็ปล่อยมันไป เริ่มวันที่สองกันตามโปรแกรมที่วางไว้ดีกว่า ตามพยากรณ์อากาศท้องฟ้าแจ่มใส อากาศเย็น (มากกกก) เราจองที่นั่งรถไฟเอาไว้แล้ว

ตามแผนของเราคือเดินทางด้วยรถไฟ JR ขบวนด่วนพิเศษ Limited Express Super Azusa  ที่ได้จองที่นั่งเอาไว้แล้วตั้งแต่วันแรกแล้วไปต่อรถไฟ Fujisan Express ที่สถานี Otsuki ซึ่งการเดินทางทั้งหมดนี้ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม สามารถใช้ JR Kanto Wide Pass ได้เลย ปลายทางของรถไฟคือสถานี Kawaguchiko

ในการเที่ยวรอบๆ ทะเลสาบคาวากุจินั้นสามารถใช้บริการของรถประจำทางหรือใครอยากจะเที่ยวแบบ slow life ก็สามารถเช่าจักรยานปั่นเที่ยวไปรอบๆ ทะเลสาบได้ แต่...ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนฤดูเข้าสู่หน้าหนาวและอากาศเย็นแบบนี้รวมถึงเมื่อสองวันก่อนหน้าที่จะมาถึงมีหิมะตกลงมาปกคลุมไปทั่วบริเวณ การขี่จักรยานเที่ยวรอบๆ ทะเลสาบอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก การใช้บริการรถประจำทางและเดินเท้าบ้างเป็นบางช่วงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก

ที่นี่มีตั๋วรถประจำทางแบบเหมาจ่าย bus pass แบบสองวัน โดยรถประจำทางจะมีสายหลักๆ อยู่สามสายแบ่งเป็นสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน และยังมีรถประจำทางแบบ Retro Bus วิ่งวนตามเส้นทางเดียวกับสายสีแดง ราคา Bus Pass ก็จะต่างกันขึ้นอยู่กับว่าสามารถใช้กับสายไหนได้บ้าง เราจะเที่ยวเฉพาะรอบๆ ทะเลสาบก็เลยซื้อเฉพาะสายสีแดงเท่านั้น


สถานที่แรกที่เรานั่งรถบัสไปคือ Ropeway ซึ่งจะมีกระเช้าไฟฟ้าพาขึ้นไปบนเขา Kachi-kachi เพื่อชมวิวดูภูเขาไฟฟูจิ ตามที่พยากรณ์อากาศระบุไว้ วันนี้อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใส แน่นอนว่าขึ้นไปที่จุดชมวิวแห่งนี้ภาพภูเขาไฟฟูจิปรากฏอยู่เบื้องหน้าไกลๆ หิมะแรกที่ตกเมือสองวันก่อนทำให้ยอดเขาฟูจิถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสวยงาม แต่เสียอย่างเดียวที่ว่าท้องฟ้าไม่ได้แจ่มใสมากนัก เพราะมีเมฆเยอะอยู่มากพอควร แต่ก็ไม่ได้บดบังทัศนียภาพ ที่จุดชมวิวบนเขานี้ยังมีตำนานของแรคคูนกับกระต่ายตามนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นด้วย

    นิทานมีประมาณว่ามีตายายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ได้ไปเจอแรคคูน (tanuki) และจับมันมัดเอาไว้แล้วออกจากบ้านเข้าเมืองไป เจ้าแรคคูนก็ออกอุบายให้คุณยายช่วยแก้มัดปล่อยตัวโดยหลอกว่าจะช่วยงานคุณยาย พอมันเป็นอิสระ เจ้าแรคคูนก็ฆ่ายายตายแล้วทำน้ำซุปจากเนื้อคุณยาย จากนั้นปลอมตัวเป็นคุณยาย พอคุณตากลับมามันก็นำซุปนั้นมาให้คุณตากิน แล้วมันก็กลายร่างกลับเป็นแรคคูนแล้วหนีไปปล่อยให้คุณตาเศร้าโศกเสียใจ ส่วนกระต่ายนั้นเป็นเพื่อนกับคุณตาจึงมาบอกคุณตาว่าจะช่วยแก้แค้นให้

หากอยากรู้เรื่องราวเต็มๆ ของนิทานนี้สามารถหาได้ ลองหาคำว่า Kachi-kachi Yama ใน Google ดูครับ

นอกจากชมวิวบนเขา Kachi-kachi แล้วที่นี่ยังมีขนมให้ลองชิม เป็นแป้งดังโงะเสียบไม้ปิ้งราดด้วยซอสน้ำตาลหวานๆ เค็มๆ

ถัดจากดูวิวภูเขาไฟฟูจิ มีอีกหลายที่เช่น Music Forest (แต่เราไม่ได้แวะเข้าไปดู เพราะต้องเสียค่าเข้าพอสมควร) เลยไปที่อุโมงค์ต้นไม้ชมใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีที่อยู่ใกล้ๆ กับ Itchiku Kubota Art Museum ที่นี่จะเป็นอุโมงค์ต้นเมเปิ้ลที่ขึ้นอยู่ริมคลองระบายน้ำใกล้ๆ กับทะเลสาบคาวากุจิเห็นเป็นทางยาว ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีส้มและเหลืองแล้ว และส่วนมากจะร่วงลงพื้นค่อนข้างเยอะ เราหยุดถ่ายรูปที่นี่กันพอสมควรแล้วก็เดินกลับมารอรถบัสเพื่อไปที่จุดสุดท้ายคือจุดชมวิวฟูจิริมทะเลสาบที่ Kawaguchiko Natural Living Center


อย่างที่เล่าไว้ข้างต้น ไม่ใช่ทุกการเดินทางจะราบลื่นสมหวัง ที่ทะเลสาบคาวากุจินี่ก็เช่นกัน พอพ้นช่วงสายเข้าสู่เวลาก่อนเที่ยง เมฆที่เห็นพอประมาณในช่วงเช้าๆ สายๆ เริ่มเยอะมากขึ้นจนบดบังภูเขาฟูจิไปจนไม่เห็นยอดเขา ทำให้วิวที่ทะเลสาบที่ Natural Living Center มีแต่พื้นน้ำกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆ ขาวเทาครึ้มเต็มไปหมด เป็นที่ผิดหวังของนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปชมวิวทะเลสาบกับฟูจิซัง นี่ถ้าเราไม่ได้เห็นวิวบนเขา Kachi Kachi มาก่อนก็คงจะผิดหวังมากๆ เช่นกัน

แต่ยังดีที่แผนเที่ยววันนี้ก็ยังบรรลุไปตามที่คิดไว้ ถึงจะไม่ได้ดังใจตรงจุดชมวิวริมทะเลสาบ แต่ก็ถือว่าไปเกือบครบทุกที่ตามที่คิดไว้และได้ใช้เวลาในสถานที่ต่างๆ ได้อย่างที่ต้องการ

ขากลับเราแวะทานมื้อกลางวันที่ร้านแถวๆ สถานี Otsuki เนื้องจากมีเวลาเหลือพอก่อนที่จะถึงเวลารถไฟขากลับที่จองที่นั่งเอาไว้ที่นั่งกลับมาที่ชินจุกุ มื้อเย็นวันนี้เราเลือกกินร้านเล็กๆ ในซอยเป็นแบบเนื้อเสียบไม้ย่างเตาถ่าน อยากกินอะไรก็สั่ง นั่งหน้าเคาเตอร์ เป็นร้านเล็กๆ แคบๆ คนญี่ปุ่นมากินกันเยอะมากคนแน่นเกือบทุกร้าน กลิ่นเนื้อย่างทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู ไก่ วัว กุ้ง ปลาหมึกมีมากมายตามแต่จะสั่ง เราเลือกได้ร้านที่อยู่กลางๆ ซอย นั่งกินหน้าเคาเตอร์เล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นปนควันและกลิ่นเนื้อย่างคละคลุ้ง ได้บรรยากาศไปอีกแบบ

แถมท้ายก่อนจบวัน เผื่อใครไม่เคยเห็นนอกจากที่เมืองไทยเราจะเห็นรถซาเล้งรับซื้อของเก่าหรือกระป๋องขวดพลาสติก ที่ญี่ปุ่นในโตเกียวก็มีเช่นกัน แต่อาจจะหายากแต่เราโชคดีที่ได้เห็นระหว่างเดินกลับโรงแรมที่พักตอนดึกๆ  นอกจากคนรับซื้อของเก่าหรือเศษวัสดุจะแต่งตัวสะอาดสะอ้านแล้วรถเข็นก็ดูแตกต่างจากของไทย มีการคลุมปิดอย่างดีค่อนข้างมิดชิด









ใบไม้เปลี่ยนสีที่นิกโก้

โปรแกรมวันนี้เราจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นิกโก้ เช่นเดิมการเดินทางด้วย JR Pass ซึ่งวันนี้เราจองที่นั่งรถไฟ Shinkansen จากสถานีโตเกียวไปนิกโก้ โดยจะเปลี่ยนขบวนเป็นสาย Nikko Line ที่สถานี Utsunomiya ใช้เวลารวมทั้งหมดประมาณชั่วโมงครึ่ง

การเดินทางโดยนั่งรถไฟไปไกลๆ ในตอนเช้าแบบนี้เราสามารถซื้ออาหารขึ้นไปนั่งกินในรถไฟระหว่างเดินทางได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนมากก็จะทำแบบนี้ นั่งรถไฟไปทานอาหารเช้าไปพร้อมกับชมวิวข้างทาง หากใครซื้ออาหารไม่ทัน บนรถไฟจะมีเจ้าหน้าที่ขายขนมของกินเล่น ชากาแฟบริการ สามารถซื้อได้ แต่อาจจะต้องรอสักนิดกว่าเจ้าหน้าที่จะเข็นรถมาถึงตู้ที่คุณนั่งอยู่

พยากรณ์อากาศวันนี้บอกไว้ว่าตอนเช้าจะมีเมฆเยอะส่วนช่วงบ่ายจะมีฝนตก ส่วนการเดินทางเที่ยวในเขตนิกโก้นี้ก็ใช้บริการรถบัส สามารถซื้อ bus pass ได้ราคาก็ตามแต่สายที่ต้องการไป เนื่องจากพยากรณ์อากาศบอกไว้ว่าจะมีฝนตกในช่วงบ่าย เราเลยรีบนั่งรถบัสไปดูวิวน้ำตกซึ่งอยู่ไกลสุดก่อน

น้ำตกที่ว่านี่คือน้ำตก Kegon ระหว่างทางที่นั่งรถบัสไปเส้นทางจะมีทางคดเคี้ยวขึ้นเขา เราหยุดแวะที่ ropeway (อีกแล้ว) เพื่อขึ้นไปชมวิวของอ่างเก็บน้ำที่เป็นต้นกำเนิดของน้ำตก Shirakumo ก่อน

หลังจากชมน้ำตก Kegon แล้วก็นั่งรถบัสกลับมาที่วัด Tosho-gu และศาลเจ้า ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสะพานแดง Shinkyo ที่เป็นจุดถ่ายรูปที่นักท่องเทียวส่วนมากที่มาที่นี่จะต้องแวะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

ขากลับเราเลือกที่จะกางร่มเดินกลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อนั่ง Shinkansen กลับมาโตเกียวทั้งๆ ที่มีฝนตกลงมาปรอยๆ เนื่องจากรอรถบัสนานและมีนักท่องเที่ยวเยอะ ระยะทางจากสะพานแดงกลับมาที่สถานีรถไฟ Tobu Nikko ประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็ไม่ไกลมาก ถือเป็นการเดินชมเมืองไปด้วยในตัว แต่ก็เกือบจะถึงเวลารถไฟออกพอดี


เรากลับมาที่สถานีโตเกียวแล้วต่อรถไฟไปที่โอไดบะ เพื่อดูหุ่นกันดั้มกับกินมื้อเย็น มื้อนี้ขอจัดชุดใหญ่ด้วยรายการปิ้งย่าง แต่มารู้ทีหลังว่าร้านเนื้อย่างที่เข้าไปกินกลายเป็นร้านเกาหลีซะงั้น แต่ก็อาหารก็อร่อย เนื้อก็ดีรสชาติเยี่ยม จริงๆ แล้วร้านนี้มีให้เลือกได้ว่าจะกินแบบบัพเฟ่หรือเลือกสั่งตามเมนู
หลังจากมื้อเย็นอิ่มท้อง ก็เดินเล่นมาดูโชว์แสงสีของหุ่นกันดั้มก่อนที่จะกลับโรงแรมที่พักและแน่นอนว่าดึกอีกเหมือนกับทุกวันที่มาญี่ปุ่น





Comments